ขอบคุณที่มอบความไว้วางใจ ให้ทีมงาน Muangthai Life Agentsทีมงานที่ปรึกษาทางการเงินและประกันชีวิต ได้มีส่วนร่วมในการดูแลคุณและคนในครอบครัว เราพร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกันดูแลและเดินเคียงข้าง คุณและคนที่คุณรัก เพราะเราเป็นมากกว่าตัวแทนประกันชีวิต

ทำประกันกลุ่มพนักงาน


ในโลกของธุรกิจที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้ การแสวงหาความมั่นคงในการทำงานเป็นสิ่งที่จำเป็น เงินเดือนอย่างเดียวอาจไม่พอสำหรับการสร้างแรงจูงใจให้กับพนักงาน
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่พนักงานคำนึงถึงก็คือสวัสดิการและผลประโยชน์จากการทำงาน สวัสดิการที่มอบความช่วยเหลือทางด้านการเงินให้กับพนักงานเมื่อเกิดการเจ็บป่วย อุบัติเหตุ หรือเสียชีวิต แต่ภาระความเสี่ยงที่นายจ้างจะต้องแบกรับในด้านการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาล หรือจ่ายเงินก้อนสำหรับการเสียชีวิตของพนักงานนั้นไม่อาจคาดคะเนได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด และเป็นจำนวนเงินเท่าใด
การที่ประกันความเสี่ยงด้านความเจ็บป่วยหรือทุพพลภาพของพนักงาน ไม่เพียงแต่สร้างระบบสวัสดิการที่ดี แต่ยังเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ลูกจ้าง และช่วยประหยัดภาษีอากรให้แก่บริษัทอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ บริษัท เมืองไทย ประกันชีวิต จำกัด จึงได้สร้างสรรค์และพัฒนาประกันภัยกลุ่มสวัสดิการเพื่อนายจ้าง ซึ่งครอบคลุมถึงสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างพร้อมการเสนอรูปแบบความคุ้มครองที่สมบูรณ์ และสอดคล้องตามความต้องการในทุกธุรกิจ
สนใจทำประกันกลุ่มเพื่อพนักงานและบุคคลากรของท่าน คลิกเลย
085-1544935 ทุกวันทำการ

ซื้อประกันลดหย่อนภาษี,วางแผนภาษีนิติบุคคล


ทำไมต้องวางแผนภาษี
 การวางแผนภาษี  คือ  การกำหนดแนวทางปฎิบัติในการเสียภาษี  เพื่อให้เสียภาษีได้อย่างถูกต้อง  และสามารถประหยัดภาษีได้สูงสุด โดยสรรพากรยอมรับ
           
          ทำไมต้องมีการวางแผนภาษี        
        1.  เพื่อให้เสียภาษีได้อย่างถูกต้อง
        2.  เพื่อป้องกันโทษ  และความรับผิดจากการเสียภาษีที่ผิดพลาด
        3.  เพื่อให้ได้รูปแบบแนวทางที่ประหยัดภาษีสูงสุด
        4.  ช่วยลดต้นทุนทำให้สามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
        5.  เพื่อรักษาความมั่งคั่งของผู้เสียภาษี

 ประเภทของผู้เสียภาษี
1. ประเภทบุคคลธรรมดา
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา  ได้แก่
        1.  บุคคลธรรมดา
        2.  ห้างหุ้นส่วนสามัญ
        3.  คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
        4.  ผู้ถึงแก่ความตายในระหว่าปีภาษี
        5.  กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง
2. ประเภทนิติบุคคล
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  ได้แก่
        1.  บริษัทจำกัด
        2.  บริษัทมหาชนจำกัด
        3.  ห้างหุ้นส่วนจำกัด
        4.  ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
        5.  กิจการร่วมค้า  ( join  venture )
        6.  มูลนิธิหรือสมาคม
ผลกระทบจากการวางแผนภาษีที่ผิดพลาด
       1.  ต้องเสียภาษีเพิ่มเติม
       2.  ต้องเสียเบี้ยปรับ
       3.  ต้องเสียเงินเพิ่ม  ( ดอกเบี้ยของข้อ 1.  และ  2. )
       4.  ต้องรับโทษทางอาญา  ( ปรับ , จำคุก )
       5.  อาจถึงขั้นสูญเสียธุรกิจที่สร้างสมมา

วางแผนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คลิกเลย..!!
______________________________________________________________________________________

 โครงการ วางแผนภาษีสำหรับเจ้าของกิจการ


โครงการ  : เมืองไทย Executive Insurance   
รูปแบบโครงการ: เปลี่ยนภาษีขององค์กรให้กลับกลายเป็นรายได้ เปลี่ยนรายจ่ายให้กลายเป็นสวัสดิการในรูปเงินออมพร้อมความคุ้มครองเจ้าของกิจการและกรรมการบริษัทโดยถูกต้องตามกฏหมายและสรรพากรยอมรับ
แนวคิดของโครงการ: เจ้าของกิจการจะทำอย่างไร ที่จะลดภาระภาษีให้มากที่สุด เพื่อการเสียภาษีที่น้อยลง และจะดีแค่ไหนถ้าประหยัดการเสียภาษีด้วยวิธีซื้อสินค้าที่เป็นเงินสดที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้แบบเงิน100 ซื้อเงิน1,000,000
ประโยชน์ที่ท่านจะได้รับจากการเข้าร่วมโครงการ

1.กำไรไม่สูญเปล่า
2. กรมสรรพากรยอมรับ
3. ถูกต้องตามประมวลกฎหมายรัษฏากร
4. ให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าที่สุด
5. ไม่ต้องกังวลเรื่องผิดกฏหมาย
6. เป็นเงินออมที่มาพร้อมความคุ้มครองบุคคลสำคัญขององค์กร  ตลอดสัญญา
7. ผลตอบแทนได้รับการยกเว้นภาษี
8. ภาษีบุคคลธรรมดา นิติบุคคลจ่ายแทนได้
9. ไม่จำกัดวงเงินในการทำกรมธรรม์ ขึ้นอยู่กับธุรกิจ, ทุนประกัน, บุคคล และเหตุผลที่เหมาะสมต่อกรมสรรพากร
10. กรมธรรม์ประกันชีวิต ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้กับธนาคารได้
11.เป็นค่าใช้จ่ายของหน่วยงานได้ 100%
12.ผลกำไร ที่นำมาเปลี่ยนเป็นค่าใช้จ่าย จะยังอยู่ครบทุกบาททุกสตางค์



สนใจเข้าร่วมโครงการการวางแผนภาษี คลิกเลย 
 ________________________________________________________________________________________

ทำประกันบำนาญ วางแผนก่อนวัยเกษียณ

ในอดีตการวางแผนเพื่อการเกษียณอายุอาจจะไม่มีความจำเป็นเพราะมีลูกหลานคอยเลี้ยงดู
เมื่อเราแก่เฒ่าชรา แต่มาถึงปัจจุบันซึ่งสภาพสังคมได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต การรอคอยให้ลูกหลานมาดูแล คงจะเป็นความหวังที่ห่างไกล เนื่องด้วยตัวลูกหลานเอง ก็ต้องดิ้นรนทำมาหากินเพื่อปากเพื่อท้องและครอบครัวของตนเองก่อน ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องวางแผนเตรียมความพร้อมรับมือกับอนาคตในวัยชราด้วยตนเอง

หากถามว่าควรจะมีเงินออมเป็นจำนวนเท่าไหร่จึงจะเพียงพอที่จะเก็บไว้ใช้ในวัยเกษียณ ตอบว่าไม่มีใครทราบ หรือให้คำตอบได้นอกจาก ตัวของเราเอง กล่าวคือ เราจะต้องสำรวจตัวเองว่า ปัจจุบันอายุเท่าไหร่ สุขภาพดีหรือไม่ พฤติกรรมหรือนิสัยการใช้จ่ายเป็นอย่างไร มีรายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยแวดล้อมที่เราสามารถนำมาพิจารณาวางแผนได้ว่า อนาคตต้องมีเงินออมเป็นจำนวนเท่าไหร่ถึงจะพอเพียง กรณีนี้ มีสูตรไม่สำเร็จ ที่ผู้รู้ได้เคยกล่าวเอาไว้เป็นแนวทางในการเก็บออม ซึ่งวันนี้ก็ขอหยิบยกเอามาแนะนำกัน เพื่อให้ทุกคนได้ลองนำไปคำนวณดูถึงสภาวะเงินออมที่คุณควรจะมี กันว่าควรมีกันเท่าไร

โดยวิธีแรก เป็นการพิจารณาจากเงินออมที่ควรมีอยู่ในมือขณะนี้ ซึ่งควรจะมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของเงินได้ทั้งปี คูณด้วยอายุในขณะนั้นของตัวคุณเอง

ตัวอย่าง : ปัจจุบันนี้เราอายุ 30 ปี เงินเดือนๆ ละ 20,000 บาท หรือคิดเป็นรายได้ต่อปีก็จะเท่ากับ 240,000 บาท ดังนั้นตอนนี้เราควรจะมีเงินออมอยู่ในมือเท่ากับ 10/100 x 240,000 x 30 = 720,000 บาท และควรจะมีเงินออมเพิ่มขึ้นล้อตามอายุที่สูงขึ้นทุกปีด้วยค่ะ ซึ่งถ้าเป็นไปตามสูตรนี้ถึงเวลาเกษียณอายุเราก็จะมีเงินออมก้อนโตไว้ใช้โดยไม่ขัดสนแน่นอน

วิธีที่สองเป็นการพิจารณาจากเงินออมที่ควรมีณวันที่เกษียณอายุโดยให้นำจำนวนปีที่มีชีวิตอยู่หลังเกษียณ คูณด้วยค่าใช้จ่ายต่อเดือน

ตัวอย่าง : สมมติว่า เราเกษียณตอนอายุ 60 ปี และคาดว่าหลังจากเกษียณมีชีวิตอยู่ต่อจนถึงอายุประมาณ 80 ปี ช่วงระยะเวลา 20 ปีนี้จะเป็นช่วงที่เราไม่มีรายได้ แต่มีค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ และค่ารักษาพยาบาล ฉะนั้นลองมาคิดคำนวณดูว่าปกติปัจจุบันเราใช้จ่ายเดือนละเท่าไหร่ หากหลังเกษียณอายุเราอยากจะใช้จ่ายอย่างเช่นปัจจุบันนี้จะต้องมีเงินเก็บเป็นจำนวนเท่าไหร่ เช่น ตอนนี้เราใช้จ่ายเดือนละ 15,000 บาท ดังนั้นตอนเกษียณอายุเราต้องมีเงินออมอยู่ในมือเท่ากับ 15,000 x 12 x 20 = 3,600,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้คือเงินที่ยังไม่ได้รวมค่ารักษาพยาบาลไว้ด้วย หากใครที่รู้ตัวว่าร่างกายไม่แข็งแรงก็อาจจะต้องบวกเพิ่มเงินส่วนนี้เข้าไปอีก เหล่านี้เป็นต้น


จะเห็นได้ว่า หากเราต้องการคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขความสบายในบั้นปลายของชีวิต โดยไม่ต้องเป็นภาระให้ลูกหลานหรือสังคมแล้วล่ะก็ ต้องมีเงินออมเก็บไว้เป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว และการเก็บออมเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือนธรรมดานั้น ใช่ว่าจะเก็บได้ภายในวันสองวันหรือปีสองปี แต่ต้องอาศัยระยะเวลาในการสะสมเก็บออมกันยาวนาน ดังนั้น หากใครเริ่มวางแผนการเก็บออมก่อน ก็มีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงิน(ออมเพื่อการเกษียณอายุ) ได้เร็วกว่าคนที่เพิ่งจะคิดได้เมื่อวัยล่วงเลยไปแล้ว


การเก็บออมเงินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเกษียณอายุนั้นนอกจากเก็บสะสมเงินที่ทำมาหาได้
แล้วเรายังสามารถนำเงินนั้นๆไปลงทุนเพื่อให้งอกเงยต่อไปได้เป็นการให้เงินทำงานแทนเรา
อีกทางหนึ่งซึ่งการปฏิบัติลักษณะนี้ก็จะไปเชื่อมโยงกับการวางแผนการเงินส่วนบุคคลในส่วนของ
การวางแผนการลงทุนในหลักทรัพย์ นั่นเองครับ


กล่าวโดยสรุปก็คือ การวางแผนการลงทุนในหลักทรัพย์ การวางแผนภาษี การวางแผนประกันชีวิต และการวางแผนเพื่อการเกษียณอายุ เป็นองค์ประกอบรวม ของการวางแผนการเงินส่วนบุคคล ที่เราต้องนำไปปฏิบัติควบคู่กันไป เพื่อความมั่นคงทางการเงินที่ยั่งยืน
วางแผนการเงินส่วนบุคคลอย่างชาญฉลาดในวันนี้ เพื่อสุขภาพทางการเงินที่ดีในวันหน้า คลิกเลย

********************************************************************************** 
ตอบตัวคุณเองได้ไหม  ว่าคุณอยากเห็นตัวคุณเองในอนาคต เป็นแบบนี้หรือเปล่า ?  

" มีลูกหลานดีหลายคน เดี๋ยวลูกหลานก็ดูแลเองแหละ "

"ลูกของเรา หลานของเราอาจจะดี
แล้วเขยหล่ะ สะใภ้ล่ะ จะดีเหมือนลูกหลานเรามั้ยนะ?"
วางแผนอนาคตทางการเงิน ของคุณเสียแต่วันนี้ ก่อนคนที่คุณเห็นในวันนี้ 
จะกลายเป็นคุณ ในวันข้างหน้า    คลิกที่นี่

************************************************************************************
สังคมเปลี่ยนไปจิตใจคนเปลี่ยนตามอนาคตคุณพร้อมจะเป็นผู้ให้หรือพร้อมจะเป็นผู้รอคอยการให้
 ดังเช่น คนกลุ่มนี้ ซึ่ง รอคอยน้ำใจ จากคนยุคใหม่ ที่ บ่อน้ำใจ เหือดแห้ง

" ผู้สูงอายุ ถูกทอดทิ้ง "


วางแผนอนาคตทางการเงินของคุณเสียแต่วันนี้ ก่อนคนที่คุณเห็นในวันนี้
จะกลายเป็นคุณ ในวันข้างหน้า คลิกที่นี่
____________________________________________________

อนาคต คือสิ่งที่เราไม่อาจกำหนดได้ แต่เราเลือกที่จะเป็นได้ การวางแผนการเงินคือหนึ่งเส้นทางที่จะทำให้คุณสามารถ มองเห็นอนาคต ของคุณและคนที่คุณรัก
ร่วมวางแผนการเงิน ก่อนวัยเกษียณอายุกับเรา คลิกเลย
___________________________________________

ทำประกันเพื่อการศึกษาบุตร


มีลูกหนึ่งคนจนไปสิบปี!สำนวนนี้ดูเหมือนจะล้าสมัยไปแล้ว เพราะยุคถดถอยของดอกเบี้ย แถมยังถูกเงินเฟ้อกัดกร่อนค่าเงิน ค่าครองชีพวิ่งแซงเงินเดือน แค่มีลูกหนึ่งบางคนบอกจนไปครึ่งชีวิตก็มี

ไม่เห็นจำเป็นต้องวางแผนอะไรเลย ก็ส่งลูกเรียนไปตามมีตามเกิด ตามยถากรรม ตามฐานะ ตามกำลังที่มี

ในความเป็นจริง คุณจะทำอย่างนั้นก็ได้ เพราะปัจจุบันก็มีคนทำแบบนี้ไม่ใช่น้อย แต่จะดีกว่าไม่ใช่หรือ หากคุณลงมือสร้างแต้มต่อให้ลูกหลานที่ลืมตาดูโลกด้วยการวางแผนเรื่องการศึกษาให้กับเขา
อย่างมีคุณภาพที่สุด

หากแต่ในปัจจุบัน การวางแผนการเงินเพื่อเตรียมพร้อมเรื่องลงทุนในทรัพย์สินทางปัญญาให้ลูกหลาน ไม่ง่ายเหมือนสมัยก่อนที่ดอกเบี้ยทะยานเหนือ 10% แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเสมอไป หากคุณจะลงมือวางแผน เราจะพาคุณไปดูว่า มีลูกหนึ่งคน คุณต้องเตรียมเงินไว้อย่างน้อยที่สุดเท่าไหร่ เพื่อการศึกษาของลูกรักให้ไปตลอดรอดฝั่ง

จากสถิติในอเมริกา โดยทั่วไปเด็กอายุ 18 ส่วนใหญ่จะย้ายออกจากบ้าน แต่ปัจจุบัน 68% ของเด็กอายุ 18 ไม่ย้ายออกจากบ้านแล้ว เพราะเขาเริ่มรู้สึกแล้วว่า การย้ายออกจากอ้อมอกของพ่อแม่ ทำให้พวกเขาต้องหันมาทำงานพิเศษ ต้องจ่ายค่าเช่าห้องเอง ส่งตัวเองเรียน เด็กเริ่มรู้สึกว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องออกไปลำบากอย่างนั้น สู้เอาเงินที่หามาได้ นำไปซื้อข้าวของที่อยากได้หรือของที่จำเป็นต้องใช้ไม่ดีกว่าหรือ

ขณะเดียวกัน ภาระของพ่อแม่ทั่วโลกมีแนวโน้มยาวนานขึ้นเพราะจากในอดีตแค่เรียนจบระดับปริญญาตรีก็เพียงพอแล้ว แต่ปัจจุบันต้องจบระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอก ถึงจะเดินลงสู่สนามแรงงานได้อย่างยืดอกได้

นอกจากนี้ เด็กสมัยนี้ใช้เวลาค้นหาตัวเองนานขึ้น และระหว่างทางของเด็กคนหนึ่ง จะต้องมีทั้งเรียนพิเศษนอกห้องเรียน ทั้งเตรียมเอนทรานซ์ เรียนเปียโน เรียนบัลเล่ต์ สมัยก่อนเรียนแค่ภาษาอังกฤษ แต่เท่านั้นไม่พอ เดี๋ยวนี้ขยับไปเรียนภาษาจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีเพิ่มเติมอีก ถึงจะสู้คนอื่นได้

เราจึงอยากบอกกับคุณว่า เหตุผลทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้ขบวนการวางแผนทางการเงินเพื่อเตรียมพร้อมในเรื่องการศึกษาของลูก จึงไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป ฉะนั้น ถ้าไม่เตรียมจะแย่

"พอพูดถึงเรื่องการศึกษาของลูกหลาน เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แค่การศึกษาในระบบแล้ว แต่มันเป็นเรื่องของการเพิ่มแต้มต่อให้ลูกหลาน ขบวนการการเตรียม ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป สาเหตุที่พ่อแม่ต้องเตรียมวางแผนเรื่องการศึกษาให้ลูกมากขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้มีเรื่องเงินเฟ้อ 4-6% เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ฉะนั้น ตั้งแต่วันที่เด็กเกิดออกมากลืมตาดูโลก พ่อแม่ควรจะให้ของขวัญเป็นการศึกษาที่ดีกับลูก เพราะถ้าให้เงิน บางทีเงินอาจจะหมดได้ แต่ให้การศึกษาจะอยู่กับลูกตลอดไป มีการศึกษาที่ดีลูกก็ไปหาเงินได้ แต่การศึกษาที่ดี ต้องมีเงินเป็นตัวช่วย พ่อแม่ทุกคนอยากให้การศึกษาสูงที่สุดแก่ลูกเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้"

 การศึกษายุคนี้เพิ่มความหลากหลายมากขึ้น สมัยก่อนอาจจะเรียนตั้งแต่เด็กจนจบมัธยมที่โรงเรียนเดียว แต่ปัจจุบันนี้ไม่ใช่แล้ว อาจจะเริ่มต้นที่ประถมเอกชน แล้วเปลี่ยนไปเรียนนานาชาติ ทางเลือกไม่ได้มีแค่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยรัฐบาลและเอกชน แต่มีโรงเรียนประเภทไบลิงกวล สองภาษา และโรงเรียนนานาชาติเข้ามาเป็นทางเลือก ขณะที่ การเดินทางไปศึกษาในต่างประเทศ ในอดีตอาจจะมีแค่อังกฤษ และอเมริกา แต่เดี๋ยวนี้มีทั้งออสเตรเลีย อินเดีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลี และนิวซีแลนด์มาเป็นทางเลือก

ข้อสำคัญ สมัยก่อนพ่อแม่อาจไม่จำเป็นต้องวางแผนเรื่องการศึกษาให้ลูกก็ได้ เพราะดอกเบี้ยเงินฝากสูงเกิน 10% แค่เอาเงินไปนอนแช่ทิ้งไว้ในบัญชีเงินฝาก 10 ล้านทุกปีก็ได้ดอกผลปีละ 1 ล้านเอามาเป็นทุนการศึกษาของลูกได้ แต่ปัจจุบันไม่ใช่ เดี๋ยวนี้ดอกเบี้ยเงินฝากแค่ 2-3% เท่านั้น พันธบัตรเต็มที่ก็ได้ดอกผลไม่เกิน 5%

ดังนั้น คอนเซปต์ของการศึกษา จึงไม่ใช่วางแผนการศึกษาแบบเดิมๆ ง่ายๆ อีกต่อไป แต่เป็นการเพิ่มแต้มต่อ และการบริหารผลตอบแทนของเงิน ที่ซับซ้อนมากขึ้น และจะใช้วิธีการและรูปแบบการลงทุนแบบเดิมไม่ได้

O เริ่มต้นวางแผนดีลูกมีแต้มต่อ
 พ่อแม่ที่อยากเห็นอนาคตอันสดใสของลูกน้อย หากเริ่มต้นด้วยการวางแผนที่ดี ลงมือทำตามแผนก็ทำให้ลูกรักของคุณเติบโตอย่างมีอนาคตที่สดใสได้

โดยปกตินั้น ขบวนการในการจัดการวางแผนเรื่องนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ "Pre College Fund" หรือช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย กับ "College Fund" แบ่งเป็นปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก

ในการเตรียมเงินทั้งหมด  โดยปกติหากเป็นมนุษย์เงินเดือนที่เป็นคนชั้นกลาง ส่วนใหญ่ก็จะใช้วิธีค่อยๆ สะสมเงินต้นไปเรื่อยๆ เมื่อได้ดอกผล ค่อยๆ นำส่วนหนึ่งออกมาใช้เพื่อใช้จ่ายเป็นทุนการศึกษา แต่ถ้าเป็นครอบครัวที่มีสตุ้งสตางค์หรือมีฐานะอยู่ก่อนแล้ว ก็มักจะดึงเฉพาะดอกผลออกออกมาจับจ่ายอย่างเดียว ฉะนั้น วิธีการตรงนี้ แตกต่างตรงที่ความมั่งคั่งของแต่ละครอบครัว

"จากสถิติในไทย ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ มากกว่า 50% ไม่สามารถเรียนจบได้ มีเหตุผลจากพ่อแม่ล้มละลาย บางคนเก็บเงินไปเรื่อยๆ พอขัดสน ชักหน้าไม่ถึงหลัง พ่อแม่ยืมจากเงินออมก้อนนี้ออกมาใช้ก่อน แล้วก็ไม่ได้คืน เงินก็หมดไป กับอีกกรณีคือพ่อแม่เสียชีวิต หรือทุพพลภาพ แล้วไม่ได้เตรียมเงินไว้ให้อย่างเพียงพอ ในที่สุดก็เกิดปัญหา "

เราอยากแนะนำว่า เมื่อลูกเกิดมา อย่างแรกที่พ่อแม่ต้องทำคือประเมินค่าใช้จ่ายในอนาคต ว่ามีอะไรบ้าง ตั้งแต่ช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัยและช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ยิ่งถ้าพอรู้เป้าหมายว่าช่วงเรียนประถมที่ไหน มัธยมที่ไหน หรืออยากให้เรียนนานาชาติตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะตัวเงินจะแตกต่างกัน หากพอรู้เป้าหมายจะได้วางแผนตระเตรียมเงินทองได้คร่าวๆ

ถัดมา เมื่อประเมินเป้าหมายพอได้ คราวนี้หันมาดูกำลังของเรา ว่าเพื่อให้สอดรับกับแผนคร่าวๆ ที่วางไว้ จะเอาเงินจากไหน เพราะถึงจะบริหารจัดการเงินก้อนนี้อย่างไรก็ต้องไม่ให้กระทบแผนการออมของเราเอง ดังนั้น ในแง่การจัดการงบประมาณ จึงต้องเริ่มต้นมองจากภาพแม็คโครก่อน ดูรายรับรายจ่ายแต่ละปีของเรา คะเนคร่าวๆ จะได้รู้สถานการณ์การเงิน ว่ามีกำลังเพียงพอหรือไม่

"ไม่ว่าจะลูกกี่คน ยังไงคุณก็ต้องเกษียณ ต้องเตรียมสะสมเงินออมเอาไว้ใช้ตอนเกษียณ เพราะฉะนั้น ต้องบริหารจัดการให้ดี ต้องไม่ให้กระทบแผนเงินออมเพื่อเกษียณของคุณต้องไม่สะดุดหรือไม่เปลี่ยน แผนชีวิตแผนการเงินของเราที่วางไว้ต้องไม่เปลี่ยน ดังนั้น จึงเกิดคำถามที่ว่า สำหรับคนไม่ได้ร่ำรวยเงินทองมาเป็นทุนเดิม เงินสะสมเพื่อการศึกษาของลูกควรจะมาจากไหน นั่นเป็นสิ่งที่คนสงสัย มีหลายคนคิดว่าดึงบางส่วนมาจากการเงินออมของเรานี่แหละ ที่จริงแล้วไม่ใช่ เงินออมส่วนนี้ต้องดึงมาจากส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายของเรา เราต้องลดรายจ่าย ปรับไลฟ์สไตล์และความสะดวกสบายเดิมๆ ลงบ้าง"

ที่จริง หากคุณเป็นพ่อแม่ประเภทที่สามารถผลิตรายได้พิเศษเพิ่มได้ คงไม่เป็นปัญหา แต่กรณีที่ไม่ได้ร่ำรวยเป็นทุนเดิม พ่อแม่หลายคนจำเป็นต้องลดคุณภาพชีวิตลงนิดหนึ่ง ปรับไลฟ์สไตล์ลง เพราะการหารายได้เพิ่ม ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ แต่วิธีการลดรายจ่ายทุกคนทำได้

"แต่ละคนคงต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า มีรายจ่ายอะไรที่ลดลงได้บ้าง แน่นอน ปัจจัย 4 ลดไม่ค่อยได้ ต้องไปปรับโครงสร้างและรีดจากค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น เช่นคุณอาจต้องไปปรับโปรโมชั่นโทรศัพท์ หรือจากเดิมเคยกินกาแฟวันละ 2 แก้วก็ลดลงเหลือวันละแก้ว หรือเลิกเลย ก็อาจจะประหยัดเงินไปได้วันละ 100 บาท คุณรู้มั้ยว่า แค่ไม่กินกาแฟวันละ 100 บาท ณ ดอกเบี้ย 4% ผ่านไป 40 ปี คุณอาจจะมีเงินเก็บ 2.6 ล้านบาท นี่คิดจากแค่เดือนละ 22 วันเท่านั้นนะ ถึงตรงนี้สามีภรรยาคงต้องนั่งดูว่าปรับลดอะไรได้อีกบ้าง

สมมติแผนของคุณอยู่ที่เก็บเงิน 1 ล้านบาท เก็บ 20 ปีๆ ละ 5 หมื่นบาท ก็เท่ากับเดือนละ 4 พันบาทเศษๆ สามีภรรยาเงินเดือน 6 หมื่นรวมกันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่ลดเบียร์วันละกระป๋อง ลดกาแฟวันละแก้ว ลดนุ่นโน้นนี่ ได้แล้ว 4 พันบาท แต่ปัญหาของคนไทยคือยังไม่ทันลองเลย บอกว่าทำไม่ได้ดังนั้นก่อนจะบอกว่าทำได้หรือไม่ได้ ลองทำหรือยัง"

O เรียนธรรมดาสุดต้องยืนพื้นไว้ที่ 1.5 ล้านบาท
จากสถิติที่ได้มีการวิจัย ได้คำนวณตัวเลขคร่าวๆ สำหรับการศึกษาของลูก ว่าเงินน้อยที่สุดที่ต้องเตรียมสำหรับลูก กรณีเรียนธรรมดาที่สุดจนถึงจบปริญญาตรีต้องใช้เงินประมาณ 1.5 ล้านบาท แต่ถ้าวางแผนไปเรียนปริญญาโทเมืองนอก หรือเรียนโรงเรียนนานาชาติตั้งแต่ต้นจนจบ ตัวเลขเท่านี้ไม่พอแน่
ตามตัวเลขที่เราได้ประเมินออกมาคร่าวๆ แบ่งเป็น 3 ทางเลือก การเตรียมเงินจะแตกต่างกันไป ยิ่งเมื่อรวมอัตราเงินเฟ้อบนสมมติฐานที่ประมาณ 4% ด้วย จะพบว่ายิ่งต้องเตรียมเงินมากขึ้นอีก

กรณีแรก หากเรียนอนุบาลในโรงเรียนเอกชนชั้นนำ จะใช้เงินช่วงนี้ประมาณ 3 แสนบาท ช่วงประถมจนถึงมัธยมเรียนโรงเรียนเอกชนชั้นนำ ใช้เงินประมาณ 8.2 แสนบาท ระดับปริญญาตรีเรียนภาคอินเตอร์ประมาณ 7.7 แสนบาท เรียนปริญญาโทในสหรัฐอเมริกา 2.6 ล้านบาท รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 4.5 ล้านบาท เมื่อรวมเงินเฟ้อเข้าไปด้วย 4% เท่ากับว่า ต้องเตรียมเงินไว้ประมาณ 8.8 ล้านบาท

กรณีที่สอง หากเรียนอนุบาลในโรงเรียนเอกชนชั้นนำ จะใช้เงินช่วงนี้ประมาณ 3 แสนบาท แต่พอช่วงประถมจนถึงมัธยมเรียนโรงเรียนนานาชาติ จะใช้เงินเพิ่มเป็นประมาณ 6.1 แสนบาท จากนั้นไปเรียนระดับปริญญาตรีเรียนภาคอินเตอร์ประมาณ 7.7 แสนบาท เรียนปริญญาโทในสหรัฐอเมริกา 2.6 ล้านบาท รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 9.8 ล้านบาท เมื่อรวมเงินเฟ้อเข้าไปด้วย 4% เท่ากับว่า ต้องเตรียมเงินไว้ประมาณ 19 ล้านบาท

กรณีที่สาม หากเรียนอนุบาลในโรงเรียนเอกชนชั้นนำ จะใช้เงินช่วงนี้ประมาณ 3 แสนบาท ช่วงประถมจนถึงมัธยมเรียนโรงเรียนเอกชนชั้นนำ ใช้เงินประมาณ 8.2 แสนบาท ระดับปริญญาตรีเรียนมหาวิทยาลัยภาคภาษาไทยประมาณ 1.7 แสนบาท เรียนปริญญาโทภาคภาษาไทย 2 แสนบาท รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 1.49 ล้านบาท เมื่อรวมเงินเฟ้อเข้าไปด้วย 4% เท่ากับว่า ต้องเตรียมเงินไว้ประมาณ 2.6 ล้านบาท


O รับมือความเสี่ยงด้วยการวางแผนทำประกัน

ถึงแม้ว่าคุณจะมีเป้าหมายและมีตัวเลขเงินออมอยู่ในใจ รวมถึงเดินหน้าสะสมเงินออมเพื่อให้ได้ตามเป้าหมาย แต่ในโลกของความเป็นจริง  คุณอาจเผชิญหน้ากับความเสี่ยงหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงในเรื่องของสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดี ที่อาจทำให้ธุรกิจที่คุณทำอยู่เกิดสะดุด หรือคุณต้องตกงานอย่างกะทันหัน  เราสามารถรับมือความเสี่ยงได้ด้วยการวางแผนทำประกัน

"ถ้าเราไม่อยู่หรือไม่มีความสามารถในการหาเงิน นักวางแผนการเงินทั่วโลกแนะให้ซื้อประกันวงเงิน 1 ล้านบาท แบบจ่ายเบี้ยถูกสุด เบี้ยปีละ 2-3 หมื่นบาท ถ้าสุขภาพดีและอายุน้อย เบี้ยมักไม่เกิน 3 ล้านบาท เมื่อคุณเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ลูกก็จะมีทุนการศึกษา 1 ล้านบาท โดยที่คุณตัดความกังวลใจ ไปได้เลย กรณีนี้สมมติว่าถ้าคุณอยู่ครบ 20 ปีโดยไม่เป็นอะไร ก็ได้เงินคืนมาก้อนหนึ่ง 50% เช่นส่งไปปีละ 3 หมื่น 20 ปีเป็นเงินประมาณ 6 แสนบาท จะได้เงิน 3 แสนบาทคืนมา แต่ก็สบายใจได้ว่าถ้าเราเป็นอะไรปุ๊บปั๊บการศึกษาของลูกไม่สะดุดแน่นอน"

หลายคนอาจจะบอกว่า มีลูกหนึ่งคนแล้ว ชีวิตต้องเก็บเงินออมเพื่อลูกเดือนละ 4 พันบาท แล้วยังต้องซื้อประกันด้วยหรือ คำตอบคือถ้ารักลูกควรจะทำทั้งสองทาง

"เมื่อคุณรู้ปัญหาว่ามีความเสี่ยงอยู่ตรงไหนบ้าง ประเด็นคือคุณจะจัดการมันอย่างไร อย่างแรกคือโอนความเสี่ยงไปให้บริษัทประกัน 100% หรือจัดการโอนความเสี่ยงไปตามความสามารถและกำลังของเรา หรือคุณเลือกที่จะไม่โอนเลยก็ได้ แต่รู้ไว้ว่า คนที่รับความเสี่ยงคือคนที่คุณรักและเขารักคุณ เขาต้องมารับความเสี่ยงแทนคุณ แต่ถ้าคุณบอกว่าให้ลูกรับไปเอง ก็ได้เช่นกัน คุณก็ฝากธนาคารอย่างเดียว ไม่ต้องทำประกัน แต่ผมอยากบอกว่าในต่างประเทศเขาทำทั้ง 2 ส่วนไปพร้อมๆ กัน เพราะอันตรายมาก ที่ลูกของคุณจะไม่มีเงินเรียนหนังสือ"

O รวยแค่ไหนก็ต้องวางแผนเพื่อการศึกษา

เพราะความรวยไม่ได้อยู่กับทุกคนตลอดทั้งชีวิต ดังนั้น ถึงแม้คุณจะเป็นคนรวยหรือมีอันจะกินก็ต้องวางแผน และจัดการเงินก้อนที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

ยกตัวอย่าง  คนรวยบางคนที่เมื่อมีลูกหนึ่งคน เขาอาจจะใช้วิธีกันเงินก้อนหนึ่งประมาณ 10 ล้านบาท เตรียมเอาไว้เลย ซึ่งก็เป็นวิธีที่ดี เพราะ คนที่ไม่กันเงินออกมา เผื่อวันข้างหน้ามีปัญหาเรื่องการเงิน เงินก้อนนี้ก็อาจจะหมดได้ เพราะคนรวยวันนี้ ไม่ได้หมายความว่าอีก 20 ปีคุณจะรวย เพราะฉะนั้นแบ่งออกมาเลย

"แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า เงินก้อนนี้จะทยอยดึงออกมาเป็นเงินเพื่อการศึกษาทั้งหมด หรือจะเอาดอกผลของ 10 ล้านบาทมาเป็นทุนการศึกษา ยกตัวอย่างว่าถ้าวางแผนให้ดีเช่นใช้เงินปีละ 5 แสนบาท คุณก็แค่บริหารเงินก้อนนี้ให้ได้ผลตอบแทนปีละ 5-7% ก็ได้เงินปีละ 5-7 แสนบาทออกมาใช้เป็นทุนการศึกษาของลูก พอลูกเรียนจบเงินก้อนนี้ก็เป็นของคุณ วิธีนี้ถูกสอนในต่างประเทศ เขาจะเริ่มวางแผนตั้งแต่แต่งงาน บางคนเก็บเงินเพื่อการศึกษาตั้งแต่ก่อนแต่งงาน มีแต้มต่อดีกว่าเยอะ ประเด็นคือคนทั่วไปรอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยแก้ ท้องแล้วหรือคลอดแล้วค่อยวางแผนสะสมเงินก้อนนี้"

O แผนชัดเจน..ลงทุนง่าย

การบริหารจัดการเงินสะสมเพื่อการศึกษาของคุณจะง่ายขึ้น หากคุณมีแผนการลงทุนที่ชัดเจน จะทำให้คุณลงทุนได้ง่ายเงิน ยกตัวอย่างว่า เช่นถ้าชัดเจนว่าอนาคตอยากจะส่งลูกไปเรียนอังกฤษ นั่นหมายถึงอนาคตคุณต้องใช้เงินปอนด์แน่ๆ ก็ไปลงทุนในต่างประเทศเลย

"ในอดีตมีไอเดียว่า เงินก้อนที่เก็บเพื่อการศึกษาของลูกจะต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ควรเสี่ยงเลย เพราะเป้าหมายในอดีตพ่อแม่ส่วนใหญ่จะส่งลูกเรียนมัธยมภายในประเทศ จากนั้นก็เรียนปริญญาตรีในเมืองไทย หรือบางบ้านขยับไปต่อปริญญาโทเมืองนอก ซึ่งตอนที่อัตราแลกเปลี่ยน 25 บาทต่อดอลลาร์ และดอกเบี้ยเงินฝากได้ 10% ทำให้บริหารจัดการง่าย แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป เราทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว "

ดังนั้น  พ่อแม่ควรจะบริหารจัดการและหาวิธีลงทุนใหม่ ที่ให้เงินงอกเงยสมกับเงื่อนไขและสถานการณ์ในปัจจุบัน เช่นหาทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น ในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ในทองคำ พันธบัตรระยะยาว หรือถ้าจะส่งลูกไปเรียนอังกฤษ ก็อาจจะจัดสรรเงินลงทุนส่วนหนึ่งเป็นเงินปอนด์ไว้เลยก็ได้ แต่ถ้าไม่มีความรู้เรื่องการวางแผนลงทุนเพื่อการศึกษาของลูก ก็ควรหันมาปรึกษาบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ยอมจ่ายค่าธรรมเนียมนิดหน่อย แต่แผนของคุณก็บรรลุเป้าหมาย

โดยที่ลูกค้าไม่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแล้ว ไม่ต้องไปลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง แทนที่จะบริหารเงินเองเอาเวลาไปทำงานหาเงินดีกว่า ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนบริหารเงินลงทุนดีกว่า ยิ่งตอนนี้ค่าการศึกษาแพงขึ้น ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนก็เยอะ ดอกเบี้ยลดลงมหาศาล 3 ตัวแปรนี้ ทำให้เห็นว่า การวางแผนการศึกษาแบบคอนเซอร์เวย์ทีฟ ยากที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงินในอนาคต "

** O ทำ 2 ทางควบคู่กันไปดีที่สุด


 ถึงแม้คุณจะไม่ได้ร่ำรวยมาตั้งแต่เกิด แต่การวางแผนการศึกษาให้ลูกหลานก็ไม่ได้ยากเกินกำลัง หากไม่มีเงินก้อน ก็ค่อยๆ สะสมเงินทอง และวางแผนป้องกันความเสี่ยงด้วยการทำประกัน ควบคู่กันไป 2 ทางเลย

ส่วนคนที่โชคดีเกิดมารวยอยู่แล้ว เมื่อมีเงินก้อนก็เลือกรูปแบบการลงทุนให้เหมาะสม ถ้าวางแผนว่าอนาคตจะส่งลูกไปเรียนต่างประเทศแน่นอน ก็กระจายเงินไปลงทุนในเงินสกุลนั้นๆ เช่นลงตราสารเงินสกุลดอลลาร์ ซื้อหุ้นในต่างประเทศ หรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศที่คิดว่าจะส่งลูกไปเรียนเช่น ออสเตรเลีย อังกฤษ และอเมริกา จะให้ดีกว่านั้นคือมีทั้งเงินก้อนเก็บ แล้วบริหารเงินก้อนนี้ให้มีความมั่งคั่งพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็ซื้อประกันด้วย

"หรือจะวางแผนแบบตามยถากรรม ซึ่งถ้าคนไทยเป็นแบบนี้กันหมด สังคมไทยคงแย่ จากสถิติพบว่า 3 ใน 5 คน ที่เกิดมาจะต้องป่วยเป็นโรคร้ายแรงแน่นอน ถ้าคุณโชคดีป่วยหลังจากส่งเสียลูกให้เรียนจบแล้วก็รอดตัวไป แต่ถ้าไม่ใช่ล่ะ ป่วยด้วยต้องใช้เงินรักษา ก็กระทบการศึกษาของลูก หรือถ้าเกิดเศรษฐกิจพังพินาศ อนาคตลูกหลานจะเป็นยังไง ปัญหาสังคมเกิดจากการไม่วางแผนการเงินทั้งนั้นแหละ"

สุดท้ายการลงทุนในสินทรัพย์ทางปัญญาให้ลูกหลานมีความสำคัญอย่างยิ่ง สังคมไทยจะพัฒนา หากพ่อแม่หันมาวางแผนทางการเงิน และยิ่งวางแผนการเงินดีลูกคุณยิ่งมีแต้มต่อ

สร้างแต้มต่อ ในอนาคตการศึกษาให้กับลูกคุณ  คลิกเลย
******************************************************* 
เรื่องราวต่อไปนี้ คือคำตอบที่ดี ที่คุณจะได้ในอนาคตทางการศึกษาของลูก
โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร


และนี่คือหนึ่งเหตุผลที่จะทำให้คุณรู้จักความหมายของคำว่ารักและครอบครัว
ที่สุดก็คือรัก 

สร้างแต้มต่อและอนาคตการศึกษาให้กับลูกหลานคุณ คลิกเลย !
__________________________________________________

คำนวณเงินออมเพื่อวางแผนการเงิน


4แบบทดสอบ 

เพื่อให้คุณได้เห็นถึงสภาวะการเงินของคุณในปัจจุบันและสิ่งที่ควรเป็นไปในอนาคต  


มีเงินออมเท่าไหร่จึงจะพอเพียง
ณะนี้คุณควรมีเงินออมเท่าไหร่ เพื่อให้ชีวิตของตนเอง มีเงินใช้อย่างสบายๆ โดยในเรื่องนี้มีสูตรที่เป็นสากลเพื่อหาจำนวนเงินออมที่ควรจะมี ณ ช่วงอายุหนึ่งๆ คือ "1/10 x อายุ x เงินได้ทั้งปี" ลองไปคำนวณเงินออมของคุณกัน  คลิกที่นี่

______________________________________________________________________________


ออมเท่าไร...พอใช้ตอนเกษียณ
คุณเคยคิดบ้างมั้ย... ว่าจะเกษียณอายุเมื่อใด? และจะมีชีวิตอยู่หลังเกษียณไปอีกนานแค่ไหน? ยิ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีการแพทย์มีความเจริญก้าวหน้ามาก มนุษย์มีชีวิตยืนยาวมากขึ้น ถึงเวลาแล้ว... ที่เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการใช้จ่ายในช่วงชีวิตหลังเกษียณ
โปรแกรมด้านล่างนี้จะช่วยให้คุณทราบว่าควรมีเงินเท่าใดจึงจะเพียงพอและสามารถรองรับชีวิตหลังวัยเกษียณให้มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย และสามารถพึ่งพาตนเองได้ คลิกที่นี่

___________________________________________________________________________


เกมส์การลงทุนเพื่อประมาณการออมเงินเพื่อใช้หลังวัยเกษียณ 
ารวางแผนเกษียณไม่ได้มีไว้สำหรับผู้ที่กำลังจะเกษียณเท่านั้น แต่ควรวางแผนตั้งแต่เริ่มทำงาน เพราะยิ่งออมเงินแต่เนิ่นๆ จะยิ่งทำให้คุณเตรียมความพร้อมได้เร็วขึ้น คลิกเลย..!

___________________________________________________

ตรวจสอบว่าคุณ...แค่อยู่รอด หรือมั่งคั่งแล้ว
แบบทดสอบ ที่จะทำให้คุณรู้ ว่าสถานะการครองชีพของตัวคุณ ณ ปัจจุบัน กำลังเดินไปทางไหนในอนาคต คุณ...แค่อยู่รอด หรือ กำลัง มั่งคั่ง คลิกเลย...!!

____________________________________________________
 ออกแบบการวางแผนทางการเงินกับเรา เพื่อสร้าง ภาวะทางการเงิน
และ สวัสดิการที่ดีให้กับคุณและคนที่คุณรัก  คลิกเลย..!!
เราพร้อมบริการคุณ 

ประกาศขายตู้เซฟ มหัศจรรย์

ตู้เซฟมหัศจรรย์ ที่ภายในบรรจุเงินไว้ 23 ล้าน
ผู้ที่ถือรหัสเปิดตู้ได้มีเพียงครอบครัวของคุณเท่านั้น
เรา ขอเสนอขายให้กับคุณในราคาพิเศษสุดๆ
เพียง 4,976,000 บาท
แต่เดี๋ยวก่อน หากคุณสั่งซื้อตอนนี้ เราลดราคาพิเศษสุดให้กับคุณ 
เหลือเพียง 3,936,000 บาทเท่านั้น


พิเศษสุดๆคุณไม่จำเป็นต้องจ่ายทั้งก้อนตอนนี้
เรา ให้คุณแบ่งจ่ายได้นานถึง 20 ปี
ปีละ 5% เป็นจำนวนเงินเพียง 196,800 บาทเท่านั้น
เฉลี่ยเพียงวันละ 540 บาท

ในอนาคต หากคุณต้องการสภาพคล่อง คุณก็จะมีแหล่งเงินกู้สำรองที่ไม่จำเป็นต้องใช้หลักทรัพย์ใดมาวางค้ำประกัน และไม่ต้องรอขออนุมัติจากบริษัท

หากคุณต้องการขายตู้เซฟคืนหลัง 20 ปี เช่น
ปีที่ 25 เรา จะรับ ซื้อคืนในราคาประมาณ 4,610,000 บาท
ปีที่ 30 เรา จะรับ ซื้อคืนในราคาประมาณ 5,280,000 บาท
ปีที่ 35 เรา จะรับ ซื้อคืนในราคาประมาณ 5,930,000 บาท

และไม่ว่าเมื่อใด หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับคุณ ให้ครอบครัวคุณเป็นคนเปิดตู้เซฟนี้จะพบว่าภายในตู้เซฟนี้จะมีเงินสดให้คุณทันทีอยู่ 10 ล้านบาทและกระแสเงิน
หมุนเวียนอีก 13 ล้านบาท
สำหรับจัดการกับค่าใช้จ่ายต่างๆ และเพียงพอกับการดำรงชีวิตต่อไป ในอนาคต

สนใจติดต่อขอซื้อหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกเลย
 085-154-4935 เราพร้อมบริการคุณ
ตู้เซฟนี้เหมาะสำหรับนักธุรกิจและเจ้าของกิจการที่ต้องการคุ้มครองสภาพคล่องทางธุรกิจ และ เงินมรดกไว้กับครอบครัว

พิเศษ สำหรับบุคคลทั่วไปที่อยากได้ตู้เซฟนี้ไว้ครอบครองเรามีสินค้าดีๆราคาย่อมเยาไว้บริการท่าน ติดต่อหาเราด่วน คลิกเลย
085-154-4935   เราพร้อมบริการคุณ


บทความสอนใจ,ชีวิตพอเพียง,วอร์เรน บัฟเฟตต์,บิล เกตส์,nick vujicic,เมืองไทยประกันชีวิต

1.ชีวิตพอเพียงของมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก วอร์เรน บัพเฟตต์ (Warren Buffet)

มีรายการสัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมงของสถานีโทรทัศน์ CNBC สัมภาษณ์ วอร์เรน บัพเฟตต์ มหาเศรษฐีอันดับสองของโลก (รองจากบิล เกตส์) ซึ่งบริจาคเงินให้การกุศลถึง 31 , 000 ล้านดอลล่าร์  (เป็นเงินไทยก็ราวๆ 1,000,000,000,000 อ่านว่า 1 ล้าน ล้านบาท โอ้แม่เจ้า)           
                                                                        

ต่อไปนี้คือแง่มุมบางส่วนที่น่าสนใจยิ่งจากชีวิตของเขา                           
                                                                        
1) เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และปัจจุบันบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป!                                                                        

2) เขาซื้อไร่เล็กๆ เมื่ออายุ 14 โดยใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์  
  
3) เขายังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กหลังเดิมขนาด 3 ห้องนอน กลางเมืองโอมาฮา ที่ซื้อไว้หลังแต่งงาน  เมื่อ 50 ปีก่อน เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้ บ้านเขาไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม         
                                                                        
4) เขาขับรถไปไหนมาไหนต้วยตนเอง ไม่มีคนขับรถหรือคนคุ้มกัน                         
                                                                        
5) เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว แม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุด 
ในโลก                                                                   
                                                                        
6) บริษัท เบิร์กไช แฮทะเวย์ ของเขามีบริษัทในเครือ 63 บริษัท เขาเขียนจดหมายถึงซีอีโอของ 
บริษัทเหล่านี้เพียงปีละฉบับเดียว เพื่อให้เป้าหมายประจำปี เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับซีอีโอ  เหล่านี้เป็นประจำ                                                           
                                                                        
7) เขาให้กฎแก่ ซีอีโอ เพียงสองข้อ                                             
กฎข้อ 1 อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย                                         
กฎข้อ 2 อย่าลืมกฎข้อ 1                                                       
                                                                        
8 ) เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซ การพักผ่อนเมื่อกลับบ้าน คือทำข้าวโพดคั่วกินและดูโทรทัศน์       
                                                                        
9) บิล เกตส์ คนที่รวยที่สุดในโลก เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน บิล เกตส์คิดว่าตนเองไม่มีอะไรเหมือนวอร์เรน บัพเฟตต์เลย จึงให้เวลานัดไว้เพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อบิล เกดส์ได้พบ   บัฟเฟตต์จริงๆ ปรากฏว่าคุยกันนานถึงสิบชั่วโมง และบิล เกตส์กลายเป็นผู้มีศรัทธาในตัววอร์เรน   
บัพเฟตต์                                                                   
                                                                        
10) วอร์เรน บัพเฟตต์ ไม่ใช้มือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน
                     
                                                                        
11) เขาแนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า :                                           
                                                                        
ที่สุดของชีวิตคือมีปัจจัย4อย่างเพียงพอนั่นเอง                                                                                                        
มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม1มื้อ เท่ากัน                                     
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุด เท่ากัน                               
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน พื้นที่ที่ใช้จริงๆ ก็เหมือนกันคือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว เหมือนกัน                                                                 
มหาเศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหน ยื้อชีวิตไปได้นานเพียงไร สุดท้ายก็ต้องตาย เหมือนกัน     

นี่คือ ปรัชญาชีวิตของมหาเศรษฐีอันดับ2ของโลก แล้วคุณล่ะ วันนี้ทำสิ่งที่มีคุณค่าของชีวิให้ตัวคุณและครอบครัวแล้วหรือยัง   ถ้ายัง  ทำไมคุณไม่ทำซะตั้งแต่ ตอนนี้ คลิกเลย
********************************************************************************
2.ในวันที่ฟ้า แผ่นดิน และ ผืนน้ำ อยู่ใกล้ชิดกัน

รู้มั๊ย..ว่าทำไม  เวลาที่ฝนตกเรามักจะนึกถึงคนที่เรารักผูกพัน และบางครั้งรู้สึกเหงาด้วย
เมื่อก่อนนี้...ท้องฟ้า..แผ่นดินและผืนน้ำเป็นเพื่อนรักกัน  ทั้งสามอยู่ใกล้ชิดกัน จนกระทั่ง โลกได้กำเนิดพืชและสัตว์
แผ่นดินและผืนน้ำก็มัวแต่จะดูแลเอาใจใส่พืชและสัตว์  จนละเลยไม่สนใจท้องฟ้าท้องฟ้าก็เริ่มรู้สึกน้อยใจ และถอยตัวห่างออกไป..ห่างออกไปทุกที  จนถึงวันที่ที่มีนกตัวแรกออกโบยบิน
แผ่นดินและผืนน้ำจึงได้รู้ว่า  ท้องฟ้าได้จากไปไกลแสนไกล  แผ่นดินและผืนน้ำพยายามส่งเสียงเรียกท้องฟ้า  แต่ท้องฟ้าอยู่ไกลมากเลยไม่ได้ยิน  นกตัวนั้นจึงอาสาที่จะไปบอกกับท้องฟ้า  นกก็บินสูงขึ้นสูงขึ้นและส่งเสียงเรียก แต่เสียงนกนั้นเบาเกินไป  ไปไม่ถึงท้องฟ้า  แต่นกก็สัญญาว่า  ต่อไปนี้ นกทุกตัวจะบินสู่ท้องฟ้า เพื่อนำข่าวจากแผ่นดินและผืนน้ำไปบอก ผืนน้ำและแผ่นดิน รู้สึกเศร้าใจที่เพื่อนได้ไกลห่าง  ออกไปไกลและคิดถึงเพื่อนเหลือเกิน  ผืนน้ำพยายามม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นครั้งแล้วครั้งเล่า  แผ่นดินก็พยายามยกตัวสูงขึ้น จนตั้งตระหง่าน แต่นั้นก็ยังไม่สูงพอ ยังไม่ใกล้ท้องฟ้า
พระอาทิตย์ซึ่งเฝ้ามองดูเหตุการณ์มาโดยตลอด  ก็บอกกับทั้งสองว่า เราอาจจะช่วยพวกเจ้าได้  พระอาทิตย์จึงอาสาช่วย โดยการส่องแสงลงมายังพื้นน้ำและแผ่นดิน  ทำให้ระเหยกลายเป็นไอ  ลอยไปรวมตัวกันเป็นก้อนเมฆลอยขึ้นไปบอกข่าวแก่ท้องฟ้า  เล่าเรื่องราวต่าง ๆ เป็นรูปตามที่แผ่นดินและผืนน้ำได้พบเจอ  และบอกว่าแผ่นดินและผืนน้ำคิดถึงมาก อยากให้ท้องฟ้าลงมาสนิทแนบชิดเหมือนก่อน ท้องฟ้า ได้รับรู้เรื่องราวก็รู้สึกเสียใจ  แต่ก็กลับลงไปไม่ได้  ฉันกลับลงไปไม่ได้หรอก เพราะฉันเติบโตขึ้นและอยู่สูงเกินไป ลงไปไม่ได้แล้ว ฉันได้แผ่ขยายตัวเองจนกว้างขวาง  ที่ฉันทำได้ก็เพียงแต่เฝ้ามองดูอยู่ไกล ๆ และโอบกอดแผ่นดินและผืนน้ำอย่างอ่อนโยนเท่านั้น  และถึงแม้จะมีนกบินมาส่งข่าว  แต่ฉันก็ยังคิดถึง แผ่นดินและผืนน้ำ  และอยากจะบอกกับทั้งสองว่า ฉันเองก็คิดถึงเพื่อนมากมายเพียงใดก้อนเมฆก็ตอบว่า  อยู่บนนี้นาน ๆ ก็เหงาเหมือนกัน อยากลงไปข้างล่างบ้าง ท้องฟ้าเลยบอกว่า ฉันก็เหงา แต่กลับลงไปไม่ได้แล้ว   แต่เจ้าลงไปได้นี่ ถ้าอย่างนั้นฉันจะส่งเจ้ากลับลงไป และความคิดถึงของฉันก็หนักมากพอที่จะส่งพวกเจ้าลงไปหมดทั้งท้องฟ้า
จากนั้น ก้อนเมฆทั้งหมดก็รวมตัวกันและรวมเข้ากับความคิดถึงอันมากมายของท้องฟ้าและตกลงมาเป็นหยาดฝน  ส่งความรักและความคิดถึงมายังแผ่นดินและผืนน้ำ
จึงไม่แปลก  ถ้าเมื่อใดที่ฝนตก  แล้วเราจะคิดถึงคนที่เรารัก  คนที่เราผูกพันและบางครั้ง
 ...ท้องฟ้าก็ส่งความเหงาลงมาด้วย

วันนี้ คุณบอกรัก คนที่คุณรักและผูกพันแล้วหรือยัง  ถ้ายัง  คลิกเลย

______________________________________________________________



วันนี้คุณลุกขึ้นมาทำอะไร เพื่อคนที่คุณรัก แล้วหรือยัง
Muangthai Life Agent สนับสนุน ให้คุณ คลิก เพื่อคนที่คุณรัก
____________________________________________________________


ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เกิดขึ้นได้ แค่เพียงคุณ เปิดใจรับฟัง
เปิดรับสิ่งที่ดีกับชีวิตของคุณและครอบครัว
คลิกเลย
**************************************************